บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
“พระราชกรณียกิจด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำและชลประทาน” ผู้ศึกษาได้สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะดังนี้
ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหลักการ ทฤษฎี และแนวคิดที่สำคัญมาใช้ในการดำเนินการศึกษาดังนี้
1. พระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ
2. หลักวิธีการดำเนินงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
3. ประเภทของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
3.1 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและอุปโภค – บริโภค
3.2 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการรักษาต้นน้ำลำธาร
3.3 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้า
3.4 โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
3.5 โครงการระบายน้ำแก้มลิง
การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลตามพระราชดำริ “แก้มลิง”
3.6 โครงการบำบัดน้ำเสีย
3.7 โครงการแก้ไขปัญหาน้ำแห้งแล้ง
4. ประโยชน์ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
4. ประโยชน์ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
1. พระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ
งานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
เพื่อประโยชน์สำหรับประชาชนในชนบทรวมทั้งตามท้องถิ่นทั่วๆ ไป
ให้มีน้ำกินน้ำใช้และจัดหาน้ำเพื่อการเกษตร ตลอดจนเพื่อประโยชน์อื่นๆ
อีกหลายด้านนับเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในพระราชกรณียกิจทั้งหลาย
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงปฏิบัติต่อเนื่องมาอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งยังประโยชน์อันไพศาลให้แก่พสกนิกรผู้ยากไร้ตามท้องถิ่นทุรกันดารจำนวนมาก
ทั้งนี้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาธิคุณเป็นล้นพ้นของพระองค์
ซึ่งต้องพระราชประสงค์จะทรงช่วยให้ประชาชนเหล่านั้น
ได้ผ่อนคลายหรือบรรเทาความยากลำบากเดือดร้อนต่อการดำรงชีพ และทำมาหากินในสภาพที่ขาดแคลนน้ำใช้เพาะปลูก
หรือในกรณีที่ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลเป็นประจำ ให้สามารถยืนหยัดหรือพัฒนาตนเอง
และครอบครัวจนมีฐานะ “ พออยู่ พอกิน ” ในขั้นแรกไปถึงขั้น “ มีกิน มีใช้ ” ในที่สุด
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่ก่อสร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อจัดหาน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกของราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ที่ขาดแคลนน้ำ
ให้สามารถมีน้ำใช้ทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี และเพื่อประโยชน์อื่นด้วยนั้น
มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน ดำเนินการเพื่อสนองพระราชดำริ
กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ตามความเหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่น ลักษณะภูมิประเทศ
และแหล่งน้ำธรรมชาติที่จะเอื้ออำนวยให้สามารถทำการก่อสร้างขึ้นได้
โดยทั่วไปโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จะมีลักษณะโครงการพื้นฐานในการช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรเกี่ยวกับน้ำเป็นหลัก
โดยเกิดขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วทั้งประเทศนั้น
ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคกลาง
ซึ่งทรงปฏิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกปีตลอดมารวมประมาณปีละ 8 เดือน
เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงสาเหตุแห่งความทุกข์ยากของราษฎร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทำมาหากินในท้องถิ่นทุรกันดารตามหมู่บ้านชนบทที่อยู่ห่างไกล
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาและชาวไร่
ที่มักประสบปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำทั้งน้ำกินและน้ำใช้เพื่อการเกษตร
อันเป็นเหตุให้ราษฎรในชนบทดังกล่าวมีความยากจน
และมักขาดแคลนอาหารสำหรับบริโภคโดยทั่วไป
เนื่องจากทุกครั้งที่ทรงซักถามข้อมูลจากราษฎรที่เฝ้ารับเสด็จฯ
ปรากฏว่าราษฎรส่วนใหญ่จะกราบบังคมทูลพระกรุณาถึงความทุกข์ยากในการขาดแคลนน้ำเพื่อการเพาะปลูก
หรือมีบ้างแต่ไม่เพียงพอใช้ ทำให้การเพาะปลูกแม้แต่ในฤดูฝนหรือการทำนาปีก็ได้รับความเสียหายเนื่องจากขาดแคลนน้ำในระยะต้นฤดู
-
ปลายฤดู หรือในระยะฝนทิ้งช่วง
ทำให้ผลผลิตต่ำ และบางปีเกือบไม่ได้ผลเลย
ส่วนในฤดูแล้งลำห้วยลำธารตามธรรมชาติต่างๆ ส่วนใหญ่น้ำแห้ง
ไม่มีน้ำใช้ทำการเพาะปลูกแม้แต่น้ำอุปโภค - บริโภค แต่ในบางท้องที่ เช่น ภาคใต้
ซึ่งมีฝนตกชุกในฤดูฝน
ราษฎรจะกราบบังคมทูลพระกรุณาเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูกมีน้ำมากเกินไปในฤดูฝน
เป็นเหตุให้ทำการเพาะปลูกไม่ได้เนื่องจากน้ำท่วมขังพื้นที่เพาะปลูกเป็นเวลานานหรือน้ำท่วมขังพื้นที่เพาะปลูกเสียหาย
เหล่านี้เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหฤทัยห่วงใยในความทุกข์ยากของราษฎร
เกี่ยวกับการทำมาหากินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทรงทราบว่า “น้ำ” เป็นปัจจัยอันสำคัญ
และเป็นความต้องการอย่างมากของราษฎรส่วนใหญ่ในชนบท ทั้งน้ำกินน้ำใช้
และน้ำเพื่อการเกษตรดังกล่าวแล้ว พระองค์จึงทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยในด้านงานพัฒนาแหล่งน้ำตลอดมา
เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำให้กับราษฎรของพระองค์
ทั้งในด้านการจัดหาน้ำให้มีเพียงพอใช้เพื่อการเกษตร และสำหรับใช้ในการอุปโภค - บริโภค
ตลอดจนการพัฒนาแหล่งน้ำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านอื่นๆ
อีกตามความเหมาะสมกับสภาพท้องที่ เพราะพระองค์ทรงเชื่อมั่นว่า
เมื่อใดราษฎรและพื้นที่เพาะปลูกไม่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ
หรือราษฎรมีน้ำกินและน้ำใช้เพื่อการเกษตรอย่างสมบูรณ์แล้ว
ย่อมจะทำให้ราษฎรมีการกินดีอยู่ดีขึ้น
และจะเป็นผลทำให้การพัฒนาทุกด้านในชนบทได้รับความสำเร็จตามไปด้วย
เนื่องด้วยกรมชลประทานเป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาน้ำเพื่อการเพาะปลูกโดยตรง
จึงได้รับพระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการก่อสร้างงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ทั่วทั้งประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้าง
เพื่อสนองพระราชดำริเป็นแห่งแรกได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า
โดยการก่อสร้างเขื่อนดินปิดกั้นห้วยตะกาด ที่บริเวณหมู่บ้านชายทะเลเขาเต่า
อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ความจุอ่างเก็บน้ำประมาณ 600,000 ลูกบาศก์เมตร
สำหรับเก็บกักน้ำจืดไว้ใช้เพื่อการอุปโภค - บริโภคของราษฎรและสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านดังกล่าว
ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2506 และสร้างเสร็จในปีเดียวกัน
2.
หลักและวิธีการดำเนินงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านงานพัฒนาแหล่งน้ำเป็นอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงมีหลักและวิธีการดำเนินงานต่อการพัฒนาแหล่งน้ำให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ
ทรงพิจารณาถึงความเหมาะสมเกี่ยวกับสภาพแหล่งน้ำ
และทรงพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านเศรษฐกิจและสังคมเสมอ อาทิ จะทรงพิจารณาสภาพภูมิประเทศจากข้อมูลที่แสดงในแผนที่
รวมทั้งข้อมูลที่ทรงได้รับจากราษฎรว่ามีลู่ทางสามารถจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบใด
จึงจะมีความเหมาะสมกับความต้องการและเหมาะกับสภาพภูมิประเทศแต่ละแห่งนั้น
ในด้านความเหมาะสมเกี่ยวกับสภาพแหล่งน้ำ
ซึ่งจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมร่วมกับสภาพภูมิประเทศและความต้องการของราษฎรดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพิจารณาวางโครงการพัฒนาแหล่งน้ำให้เหมาะสมกับสภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ
ที่มีในแต่ละท้องถิ่นเสมอ กล่าวคือ จะทรงศึกษา คำนวณ สภาพของลำห้วย ณ
บริเวณนั้นว่ามีปริมาณน้ำมากหรือน้อยเท่าใดก่อนทุกครั้ง เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพน้ำในการพิจารณาวางโครงการเบื้องต้นต่อไป
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังบริเวณดังกล่าว ก็มักเสด็จฯ
ไปทอดพระเนตรสภาพการไหลของน้ำและขนาดของลำน้ำทุกคราวไป ทั้งนี้
เพื่อประกอบการพิจารณาวางโครงการของพระองค์ให้เหมาะสมกับแหล่งน้ำ
สำหรับการพิจารณาในด้านความเหมาะสมเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม
โดยจะทรงพิจารณาถึงค่าลงทุนในการก่อสร้างโครงการ
ว่าจะคุ้มกับค่าลงทุนและเกิดประโยชน์ที่คาดว่าราษฎรในท้องถิ่นนั้นจะได้รับมากเพียงพอหรือไม่
ในด้านเกี่ยวกับสภาพท้องถิ่นและสังคม ทรงหลีกเลี่ยงการเข้าไปสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้กับคนกลุ่มหนึ่ง
โดยสร้างประโยชน์ให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ด้วยเหตุนี้
การทำงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทุกแห่งจึงพระราชทานพระราชดำริไว้ว่าราษฎรในหมู่บ้าน
หรือระหว่างหมู่บ้าน ซึ่งได้รับประโยชน์จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดิน
โดยจัดการช่วยเหลือราษฎรที่เสียประโยชน์ตามความเหมาะสมที่จะตกลงกันเอง
เพื่อให้ทางราชการสามารถเข้าไปใช้ที่ดินทำการก่อสร้างได้โดยไม่ต้องจัดซื้อที่ดิน
ซึ่งเป็นพระบรมราโชบายที่มุ่งหวังให้ราษฎรมีส่วนร่วมกับรัฐบาล
และช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในสังคมของตนเอง
และมีความหวงแหนที่จะต้องดูแลบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้างนั้นต่อไปด้วย ดังนั้น
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เช่น
โครงการประเภทอ่างเก็บน้ำซึ่งราษฎรได้บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ
แล้วไม่ยินยอมตกลงเรื่องที่ดินให้สร้างอ่างเก็บน้ำ จะทรงให้ระงับการดำเนินงานไว้ก่อน
ก็มีอยู่หลายโครงการด้วยกัน
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
เคยพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษอยู่ในเรื่อง “ พระภัทรมหาราชกับงานช่าง ” พิมพ์ในวารสารวิศวกรรมสาร เล่มที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2527 ซึ่งเป็นวารสารรายสองเดือนของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ทรงเล่าถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวกับงานวิศวกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ มีรายละเอียดที่สมควรเผยแพร่เป็นอย่างยิ่ง
จึงขออัญเชิญมาเพียงตอนหนึ่งมีใจความว่า …
“… ที่คนเห็นกันมากๆ
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติในด้านวิศวกรรม คือ
งานพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทาน เท่าที่ได้ฟังกระแสพระราชดำรัสนั้น
ท่านเห็นว่าเรื่องน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในงานเกษตรกรรม แม้แต่ดินจะไม่ดีบ้างหรือมีอุปสรรคด้านอื่นๆ
ถ้าแก้ปัญหาในเรื่องแหล่ง น้ำที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้แล้ว เรื่องอื่นๆ
ก็จะพลอยดีขึ้นติดตามมา ในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้รวมๆ กัน
ทั้งในด้านน้ำชลประทานนำมาใช้ในการเพาะปลูกโดยตรง กับน้ำที่ใช้ในครัวเรือนคือ น้ำกินน้ำใช้
มักจะรวมอยู่เบ็ดเสร็จในโครงการเดียวกัน คือ เมื่อมีโครงการหนึ่งแล้วก็ต้องให้ประโยชน์ในทุกๆ
ด้าน ในระยะหลังๆ
นี้สังเกตว่าในการวางแผนการพัฒนาแหล่งน้ำนั้นท่านมุ่งลงไปในรายละเอียดด้วย
ในการควบคุมน้ำจะต้องพยายามคำนึงถึงทั้งงานด้านชลประทาน
การควบคุมน้ำท่วมและทำในเรื่องการระบายน้ำไปด้วยในคราวเดียวกัน ไม่ให้เกิดปัญหา
ถ้าสมมุติว่าการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของน้ำหรือระดับน้ำ จะมีผลต่อปัจจัยอื่นๆ
ในการเกษตร เช่น คุณภาพของดิน
ก็ต้องเอาปัจจัยอันนั้นมาคิดและพิจารณาด้วยในการวางแผนการชลประทาน
ในเวลาเดียวกันท่านก็นึกถึงว่าในช่วงเวลาทั้งปีนั้น
จะมีน้ำดื่มน้ำใช้เพียงพอหรือเปล่า และไม่ได้คำนึงถึงเฉพาะแต่คนเท่านั้น
ท่านก็ถามถึงว่า วัวควาย หรือปศุสัตว์นั้นมีน้ำกินเพียงพอหรือเปล่า
ในบางท้องถิ่นที่ทำการเกษตรหลายๆ ประเภท ไม่เพียงแต่ทำนาอย่างเดียว
ก็ต้องคำนึงว่าการใช้น้ำในรอบปีหนึ่งนี้จะพอเพียงในการทำกิจการอะไรบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปลูกปอ ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นเสมอๆ
คือ ชาวบ้านที่ทำปอนั้นจะเอาปอมาแช่ในแหล่งน้ำทำให้น้ำเน่า
และน้ำนั้นก็คุณภาพไม่ดี ไม่สามารถ ใช้ทำนาและให้ปศุสัตว์กินได้
การวางแผนการชลประทานก็ต้องมีการแบ่งน้ำว่าน้ำส่วนนี้จะใช้ในการแช่ปอ
น้ำส่วนนี้เป็นน้ำในการทำนา ส่วนนี้ใช้ให้ปศุสัตว์ได้กิน และในการวางแผนนั้น
ก็ต้องคำนึงถึงคนที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งทำอ่างเก็บน้ำ
บริเวณที่เป็นอ่างเก็บน้ำมักจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน หรือเป็นไร่นา
ก็ต้องคำนวณว่าเมื่อกั้นทำเป็นอ่างเก็บน้ำไปแล้ว จะท่วมที่ทำกินของชาวบ้านเท่าไร
แล้วผลได้ผลเสียจากการทำนั้นจะเป็นอย่างไร
ท่วมที่นาเข้าไปจำนวนหนึ่งผลประโยชน์คือจะได้นำไปเลี้ยงนาจำนวนมากกว่าที่เคย
จะช่วยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอาจจะจาก 5 ถัง 10 ถังต่อไร่ เป็น 30 – 40 ถังต่อไร่
ก็ต้องทำในการทำนี้ถ้าไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจจากราษฎรในท้องที่
ถึงแม้ว่าในเชิงวิศวกรรมจะทำได้ ท่านก็ต้องรอไว้ก่อน
ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ย่อมจะเป็นผู้ตัดสินใจเอาว่าจะทำหรือไม่ทำ
บางครั้งทำแล้วท่วมที่นาของคนหนึ่ง แต่ว่าจะไปทำให้ได้ประโยชน์ต่ออีกคนกลุ่มหนึ่ง
ก็ต้องเอามาปรึกษาหารือกันให้พร้อมหน้าอีกหนหนึ่ง
แล้วจัดแบ่งรูปที่ดินเสียใหม่ให้คนที่ได้รับประโยชน์คือเดิมมีนา 5 ไร่ พอได้อ่างนี้ก็เนื้อที่
เท่าเดิมแต่เปรียบเสมือนว่ามีนา 50 ไร่
ก็ต้องแบ่งปันบางส่วนให้เพื่อนฝูงในหมู่บ้าน ที่เสียประโยชน์จากการทำอ่างน้ำอันนี้
…”
3. ประเภทของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริให้ส่วนราชการต่างๆ
เช่น กรมชลประทาน นำไปพิจารณาวางโครงการและดำเนินการก่อสร้างตามแนวพระราชดำริ
สามารถแบ่งออกได้ 5 ประเภทด้วยกัน
ดังต่อไปนี้
3.1 โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและอุปโภค - บริโภค
เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำซึ่งส่วนราชการต่างๆ
ทำการก่อสร้างเพื่อสนองพระราชดำริ มีจำนวนมากกว่าโครงการประเภทอื่นๆ
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภค - บริโภคในแต่ละท้องที่จะมีลักษณะโครงการอย่างไรนั้น
ต้องมีการพิจารณาวางโครงการและก่อสร้างให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและแหล่งน้ำสำหรับแต่ละท้องที่เสมอ
3.2
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการรักษาต้นน้ำลำธาร
เป็นโครงการสร้างฝายขนาดเล็กเป็นระยะๆ ทางต้นน้ำของลุ่มน้ำต่างๆ
เพื่อเก็บน้ำไว้ในลำน้ำคล้ายกับอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก
เพื่อให้น้ำที่เก็บกักไว้ซึมเข้าไปในดินตามตลิ่งและท้องน้ำ
เป็นการช่วยเพิ่มจำนวนน้ำให้ถูกเก็บกักไว้ในดินที่บริเวณต้นน้ำลำธาร
เพื่อความชุ่มชื้นของพื้นที่ให้ได้ระยะเวลานานขึ้น
ซึ่งจะช่วยในการอนุรักษ์ป่าไม้บริเวณต้นน้ำลำธารได้เป็นอย่างดี
3.2.1
ฝายต้นน้ำลำธาร
3
กุมภาพันธ์ 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
ตรวจเยี่ยมโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
และได้พระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติมความตอนหนึ่งว่า
“...ควรพิจารณาสร้างฝายเก็บกักน้ำตามลำน้ำสาขาของห้วยฮ่องไคร้
โดยสร้างเป็นฝายแบบง่ายๆ เช่น ฝายหินทิ้งคลุมด้วยตาข่าย และฝายแบบชาวบ้าน
โดยดำเนินการก่อสร้างเป็นช่วงๆ ทั้งในเขตพื้นที่พัฒนาป่าไม้ด้วยน้ำชลประทาน
และพื้นที่พัฒนาป่าไม้ด้วยน้ำฝน
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาป่าไม้ให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์ต่อไป ควรเร่งการดำเนินงาน ปี พ.ศ. 2527 บางส่วน และภายในปีต่อๆ
ไปตามความเหมาะสม...”
เป้าหมายหลักของโครงการฯ แห่งนี้ คือ
การฟื้นฟูและอนุรักษ์บริเวณต้นน้ำห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งมีสภาพแห้งแล้งโดยเร่งด่วน
โดยทดลองใช้วิธีการใหม่ เช่น
วิธีการผันน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำในระดับบนลงไปตามแนวร่องน้ำต่างๆ
เพื่อช่วยให้ความชุ่มชื้นค่อยๆ แผ่ขยายตัวออกไป
สำหรับน้ำส่วนที่เหลือก็จะไหลลงอ่างเก็บน้ำในระดับต่ำลงไป
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรกรรมต่อไป ในการนี้
ควรเริ่มปลูกป่าทดแทนตามแนวร่องน้ำ ซึ่งมีความชุ่มชื้นมากกว่าบริเวณสันเขา
ซึ่งจะทำให้เห็นผลโดยเร็ว นอกจากนั้น
ยังเป็นการประหยัดกล้าไม้และปลอดภัยจากไฟป่าด้วย เมื่อร่องน้ำดังกล่าวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นลำดับต่อไป
ก็ควรสร้างฝายต้นน้ำเป็นระยะๆ เพื่อค่อยๆ
เก็บกักน้ำไว้แล้วส่งต่อท่อไม้ไผ่ส่งน้ำออกทั้งสองฝั่งร่องน้ำ
อันเป็นการช่วยแผ่ขยายแนวความชุ่มชื้นออกไปตลอดแนวร่องน้ำ
แนวคิดและหลักการของฝายต้นน้ำลำธาร
1. แนวคิดความคิดในการอนุรักษ์น้ำ ตามวัฏจักรน้ำตามธรรมชาติ (Hydrological
cycle) น้ำตามธรรมชาติมาจากน้ำฝน
ซึ่งการเกิดขึ้นของฝนเกิดจากปัจจัยสำคัญ คือ ไอน้ำในบรรยากาศ ปริมาณไอน้ำในบรรยากาศมีแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ
คือ การระเหยของน้ำในทะเลปริมาณ 875 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อวัน
ไอน้ำจากในทะเลจำนวน 775 ลูกบาศก์กิโลเมตร
กลายเป็นฝนตกในทะเล ไอน้ำอีกจำนวน 100 ลูกบาศก์กิโลเมตร จะถูกพัดพาเข้าสู่ผืนแผ่นดิน
การคายระเหยของน้ำบนผืนแผ่นดิน จะเกิดขึ้นในปริมาณ 165 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อวัน ในจำนวนทั้งหมดนี้จะเป็นไอน้ำที่ได้จากการระเหยจากต้นไม้ถึง
90
% ไอน้ำบนผืนแผ่นดินผสมรวมกับไอน้ำจากพื้นทะเลกลายเป็นไอน้ำทั้งหมด
265
ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อวัน
และกลายเป็นฝนตกลงบนผืนแผ่นดิน เป็นที่น่าสังเกตว่าปริมาณน้ำฝนบนผืนแผ่นดินในปัจจุบันมีปริมาณลดลง
และมีแนวโน้มลดน้อยลงจนทำให้เกิดสภาวะการขาดแคลนน้ำใช้
เพื่อการอุปโภคบริโภคของมวลมนุษย์ การที่ปริมาณน้ำฝนลดลงเช่นนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณไอน้ำจากการคายระเหยบนผืนแผ่นดินลดลงเพราะป่าไม้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก
ซึ่งผืนป่าเป็นแหล่งใหญ่ในการเกิดคายน้ำเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เพราะปริมาณไอน้ำ 90 % จะได้จากต้นไม้ เมื่อปริมาณไอน้ำลดลงปริมาณน้ำฝนที่เกิดขึ้นก็มีปริมาณลดลงตามด้วย เมื่อสภาวะเป็นดังนี้ ถ้าเราสามารถชะลอให้น้ำฝนตามธรรมชาติที่ตกลงมาอยู่บนผืนแผ่นดินยาวนานมากขึ้น ก่อนที่ปริมาณน้ำไหลบ่าเหล่านั้นจะไหลสูญเสียออกไปจากระบบ โดยที่ไม่สามารถคายระเหยกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศได้
การทำฝายชะลอการไหลของน้ำจะเป็นส่วนช่วยสร้างความชุ่มชื้นในดินได้มากขึ้น
จะเป็นการทดแทนไอน้ำในส่วนของการคายระเหยจากต้นไม้ ดังนั้นการคืนไอน้ำเข้าสู่ระบบน้ำธรรมชาติก็จะดีขึ้นช่วยให้ปริมาณน้ำธรรมชาติมากขึ้น
2. แนวความคิดในการป้องกันอันตราย มนุษย์ได้เผชิญกับภัยธรรมชาติอันเกิดขึ้นจากความรุนแรงของการไหล่บ่าของน้ำ
ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน และพื้นที่ประกอบการเพาะปลูก เช่น ความรุนแรงของการไหลของน้ำทำให้บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย
พังทลาย พื้นที่การเพาะปลูกเกิดการทับถมจากดินตะกอนที่ไหลมากับน้ำทำให้พื้นที่ทำกินขาดประสิทธิภาพการจัดทำฝายต้นน้ำ
เพื่อการชะลอการไหลน้ำไว้เป็นระยะๆ จะช่วยทำให้น้ำไหลช้าลง ทำให้ลดความรวดเร็วและความรุนแรงในการไหลของน้ำ
เป็นการลดและป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินจากการไหลกระแทก อันเนื่องจากความแรงจากการไหลของน้ำ นอกจากนี้ทำให้โอกาสการกัดเซาะดินลดน้อยลง เป็นการลดการสูญเสียดินให้ไหลไปทับถมแหล่งน้ำให้ตื้นเขิน
เช่น การตื้นเขินในลำห้วย การตื้นเขินของอ่างเก็บน้ำ
และเป็นตะกอนหินดินลงไปทับถมพื้นที่เกษตรกรรม
จนเกิดเป็นความเสียหายต่อแหล่งพื้นที่ทำกิน
3. แนวความคิดในการใช้ประโยชน์น้ำ เนื่องจากน้ำมีความสำคัญต่อวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งการบริโภค
อุปโภค การใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูก การอุตสาหกรรมและนับวันมนุษย์ยิ่งมีความต้องการน้ำมากขึ้น
มนุษย์มีวิวัฒนาการในการเรียนรู้เพื่อจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการใช้ประโยชน์มาตั้งแต่อดีตแนวความคิดในการใช้ฝายเป็นที่กักเก็บน้ำขนาดเล็กในลักษณะตุ่มน้ำเล็กๆ
กระจายทั่วพื้นที่ เพื่อกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ทั้งการสร้างความชุ่มชื้น
เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาระบบนิเวศน์ การเกษตร การใช้สอยอุปโภค บริโภค
3.3
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้า
สำหรับชนบทที่อยู่ห่างไกลเช่นกัน
ได้พระราชทานพระราชดำริให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาวางโครงการและจัดการก่อสร้างโครงการพัฒนา
แหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในชนบทหลายแห่งในภาคเหนือ
โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ
ประกอบด้วยงานสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ
โดยสภาพภูมิประเทศบริเวณที่จะสร้างเขื่อนและโรงผลิตกระแสไฟฟ้านั้น
ต้องมีระดับความสูงแตกต่างกันมาก
ซึ่งน้ำที่ส่งลงมาตามท่อส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำในระดับสูงนั้นสามารถหมุนเครื่องกังหันสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าได้
และน้ำที่ผ่านการผลิตกระแสไฟฟ้านั้นก็นำไปใช้ในการเพาะปลูกและการอุปโภค – บริโภคต่อไปอีกด้วย
ไฟฟ้าพลังน้ำ (hydroelectricity)
พลังน้ำ คือ
พลังหรือกำลังที่เกิดจากการไหลของน้ำ ซึ่งเป็นพลังที่มีอนุภาพมาก
หากไม่สามารถควบคุมได้ พลังน้ำนั้นก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างกว้างขวาง
ดังตัวอย่างเช่น การเกิดอุทกภัยในบริเวณที่ลาดเชิงเขา
หรือบริเวณที่มีความลาดชันสูง และการเกิดสึนามิ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม
หากสามารถควบคุมพลังน้ำได้ตามแนวทางที่เหมาะสม พลังน้ำอันมหาศาลนั้น
ก็สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติได้
พลังน้ำได้ถูกใช้ประโยชน์มาแล้วหลายร้อยปี
กังหันน้ำสำหรับยกน้ำขึ้นสู่ที่สูงเพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและการชลประทาน
เพื่อหมุนเครื่องจักรในโรงงานสีข้าว โรงงานทอผ้า โรงงานเลื่อยไม้
และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในปัจจุบัน นิยมใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า
ไฟฟ้าพลังน้ำ
ประโยชน์ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ทรัพยากรน้ำเป็นแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติหมุนเวียนของโรงไฟฟ้า
พลังงานน้ำ (Renewable Natural Resource) โดยแตกต่างจากแหล่งเชื้อเพลิงธรรมชาติประเภทอื่นๆ
ซึ่งมีปริมาณจำกัด เช่น น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นต้น จากวัฏจักรอุทกวิทยา
เมื่อฝนตกลงมา น้ำฝนส่วนหนึ่งจะถูกเก็บกักตามที่ลุ่มต่างๆ
ทั้งบนพื้นดินและตามใบไม้ต่างๆ และซึมลงสู่ใต้ดิน
โดยน้ำส่วนเกินก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ และในที่สุดก็ไหลลงสู่ทะเล
สำหรับน้ำที่ไหลลงสู่ใต้ดิน บางส่วนก็ถูกขังอยู่ใต้ชั้นดินเป็นน้ำบาดาล บางส่วนก็ไหลกลับลงสู่แม่น้ำ
น้ำที่อยู่บนผิวดินในที่ต่างๆ และในทะเล จะระเหยกลายเป็นไอน้ำ
ซึ่งรวมถึงการคายน้ำของพืชด้วย และเมื่อมีสภาวะที่เหมาะสม
ไอน้ำเหล่านั้นก็จะรวมตัวเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำตกลงมาเป็นฝน
วนเวียนตามวัฏจักรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
3.4 โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
3.4.1
การก่อสร้างคันกั้นน้ำ เป็นวิธีป้องกันน้ำท่วมที่นิยมทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
กรมชลประทานได้ก่อสร้างสนองพระราชดำริไว้หลายแห่ง เช่น ที่ภาคใต้ ได้แก่
คันกั้นน้ำของโครงการมู-โนะ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และคันกั้นน้ำของโครงการปิเหล็ง
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาสเป็นต้น สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
กรมชลประทาน กรมทางหลวง และกรุงเทพมหานคร
ได้ร่วมกันก่อสร้างคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมบริเวณต่างๆ
ในโครงการป้องกันน้ำจากแม่น้ำน้ำเจ้าพระยา
และน้ำตามคลองโดยรอบกรุงเทพมหานครทางด้านทิศเหนือ และทิศตะวันออก
ไม่ให้ไหลบ่าเข้ามาท่วมกรุงเทพฯ ชั้นในและพื้นที่เศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
3.4.2
การก่อสร้างทางผันน้ำ เป็นการก่อสร้างทางผันน้ำ
หรือขุดคลองสายใหม่เชื่อมต่อกับลำน้ำที่มีปัญหาน้ำท่วม
เพื่อผันน้ำทั้งหมดหรือน้ำเฉพาะบางส่วนที่จะล้นตลิ่ง ออกไปจากลำน้ำ
โดยให้ไหลไปตามทางผันน้ำที่ขุดขึ้นใหม่ไปลงลำน้ำสายอื่น
หรือระบายออกสู่ทะเลตามความเหมาะสม การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยการก่อสร้างทางผันน้ำนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริเมื่อ
พ.ศ.2517 ให้กรมชลประทานพิจารณาแก้ไขปัญหาน้ำจากแม่น้ำโก-ลก ที่กั้นชายแดนประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย
กรมชลประทานได้ขุดคลองมูโนะสนองพระราชดำริเมื่อ พ.ศ.2518
มีขนาดก้นคลองกว้าง 20 เมตร คลองยาว 15.60
กิโลเมตร
และได้ช่วยบรรเทาน้ำท่วมให้ลดลงได้เป็นอย่างดี
โดยการก่อสร้างทางผันน้ำหรือขุดคลองสายใหม่เชื่อมต่อกับลำน้ำที่มีปัญหาน้ำท่วมเพื่อผันน้ำทั้งหมดหรือน้ำเฉพาะบางส่วนที่จะล้นตลิ่งแล้วทำให้เกิดน้ำท่วมออกไปจากลำน้ำให้ไหลไปตามทางผันน้ำที่ขุดขึ้นใหม่
ไปลงลำน้ำสายอื่นหรือระบายออกสู่ทะเลตามความเหมาะสม
3.4.3 การปรับปรุงและตกแต่งสภาพลำน้ำ เป็นการปรับปรุงและตกแต่งลำน้ำ
เพื่อช่วยให้น้ำ สามารถไหลตามลำน้ำได้สะดวก
หรือเพื่อให้กระแสน้ำที่ไหลมีความเร็วเพิ่มขึ้น เพื่อที่ในฤดูน้ำหลาก
น้ำจำนวนมากที่ไหลจะได้มีระดับลดต่ำลงไปจากเดิม
เป็นการช่วยบรรเทาความเสียหายเนื่องจากน้ำท่วมได้ โดยใช้วิธีการดังนี้
- ขุดลอกลำน้ำตื้นเขินให้น้ำไหลสะดวกขึ้น
- ตกแต่งดินตามลาดตลิ่งให้เรียบมิให้เป็นอุปสรรคต่อทางเดินของน้ำ
- กำจัดวัชพืช ผักตบชวา
และรื้อทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำไหลให้ออกไปจนหมดสิ้น
- หากลำน้ำคดโค้งมาก
ให้หาแนวทางขุดคลองใหม่เป็นลำน้ำสายตรง ให้น้ำไหลสะดวก
โดยการปรับปรุงและตกแต่งลำน้ำ เพื่อช่วยให้น้ำสามารถไหลไปตามลำน้ำได้สะดวกหรือมีความเร็วของกระแสน้ำที่ไหลเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่ในฤดูน้ำหลากน้ำจำนวนมากที่ไหลตามลำน้ำจะได้มีระดับลดต่ำไปจากเดิมเป็นการช่วยบรรเทาความเสียหายอันอาจจะเกิดเนื่องมาจากน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปในการเพิ่มความสามารถของลำน้ำเพื่อให้น้ำจำนวนมากไหลไปได้อย่างสะดวกหรือน้ำไหลด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมนั้นเราจะต้องปรับปรุงสภาพลำน้ำด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่นทำการตกแต่งลาดตลิ่งและท้องลำน้ำให้มีความขรุขระน้อยกว่าเดิมเพิ่มเนื้อที่หน้าตัดของลำน้ำโดยการขุดและขยายให้ลำน้ำมีขนาดโตขึ้น
3.4.4 การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ
โดยการก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำปิดกั้นลำน้ำธรรมชาติระหว่างหุบเขาหรือเนินสูงที่บริเวณต้นน้ำของลำน้ำสายใหญ่หรือตามแควสาขา เพื่อกักกั้นน้ำที่ไหลมามากในฤดูน้ำหลากเก็บไว้ทางด้านเหนือเขื่อนทำให้เกิดเป็นแหล่งน้ำขนาดต่างๆ
เรียกว่า "อ่างเก็บน้ำ"ซึ่งน้ำที่เขื่อนเก็บกักไว้นี้จะระบายออกจากอ่างเก็บน้ำทีละน้อยๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเพาะปลูกพืชของพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนในช่วงเวลาที่ฝนไม่ตกหรือในฤดูแล้ง ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝนปีต่อไป อ่างเก็บน้ำก็จะมีปริมาตรว่างสำหรับรองรับน้ำไหลหลากจำนวนมากในระยะฤดูฝนนั้นเข้ามาเก็บไว้ได้โดยเก็บน้ำที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมหรือน้ำที่จะไปทำความเสียหายให้กับพื้นที่ทางด้านท้ายเขื่อน เก็บสำรองไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านอื่นต่อไป
เขื่อนเก็บกักน้ำที่สร้างกันโดยทั่วไปมีหลายประเภทหลายขนาดแตกต่างกัน โดยเขื่อนเก็บกักน้ำขนาดใหญ่บางแห่งสามารถให้ประโยชน์ได้หลายด้าน
เช่น การผลิตไฟฟ้า การชลประทานการคมนาคมทางน้ำการเพาะเลี้ยงปลาและกุ้งในอ่างเก็บน้ำ
และการบรรเทาน้ำท่วมเป็นต้นซึ่งเราเรียกเขื่อนลักษณะนี้ว่า "เขื่อนอเนกประสงค์"
3.5 โครงการระบายน้ำแก้มลิง
การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร
และปริมณฑลตามพระราชดำริ “แก้มลิง”
จากสภาพธรรมชาติดั้งเดิมของกรุงเทพมหานคร
มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มต่ำ ทำให้การระบายน้ำยามเกิดภาวะน้ำท่วม
ให้ออกจากพื้นที่เป็นไปอย่างล่าช้า คูคลองจำนวนมากมีความลาดเทน้อย
อีกทั้งมีจำนวนคลองหลายคลองที่ตื้นเขิน มีวัชพืชปกคลุมกีดขวางทางน้ำไหล
ทำให้เกิดเป็นสาเหตุในหลายปัจจัย ของการเกิดน้ำท่วมขังในกรุงเทพมหานคร
และเขตปริมณฑลเป็นระยะเวลานาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริ
ให้มีระบบการบริหารจัดการด้านน้ำท่วม ในวิธีการที่ตรัสว่า “ แก้มลิง ” ซึ่งได้พระราชทานพระราชอรรถาธิบายว่า “ ลิงโดยทั่วไป ถ้าเราส่งกล้วยให้
ลิงจะรีบปอกแล้วเอาเข้าปากเคี้ยว แล้วเอาไปเก็บไว้ที่แก้ม
ลิงจะเอากล้วยเข้าไปไว้ที่กระพุ้งแก้มได้เกือบทั้งหวี
โดยเอาไปไว้ที่แก้มก่อนแล้วจึงนำมาเคี้ยวบริโภค และกลืนกินเข้าไปภายหลัง” เปรียบเทียบได้กับเมื่อเกิดน้ำท่วมขุดคลองต่างๆ
เพื่อชักน้ำให้มารวมกันแล้วนำมาเก็บไว้เป็นบ่อพัก อันเปรียบได้กับแก้มลิง
แล้วจึงระบายน้ำลงทะเลเมื่อปริมาณน้ำทะเลลดลง
โครงการแก้มลิงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
มีลักษณะงานเป็นการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบน ไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ ลงคลองพักน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณชายทะเล
ซึ่งเมื่อระดับน้ำทะเลลดลงต่ำกว่าระดับน้ำในคลอง ก็จะระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตูระบายน้ำ
โดยวิธีใช้แรงโน้มถ่วงของโลก (gravity) และสูบน้ำออกเพื่อให้น้ำในคลองพักน้ำมีระดับต่ำที่สุด
ซึ่งจะทำให้น้ำจากคลองตอนบนไหลลงสู่คลองพักน้ำได้ตลอดเวลา
แต่เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในคลองก็จะปิดประตูระบายน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับ
จากแนวพระราชดำริดังกล่าว กรมชลประทานได้ดำเนินการศึกษา และพิจารณากำหนดรูปแบบ
3.5.1 โครงการแก้มลิงในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จะรับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดสระบุรี
พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร มาตามคลองสายต่างๆ
โดยใช้คลองชายทะเลที่ตั้งอยู่ริมทะเลด้านจังหวัดสมุทรปราการ
ทำหน้าที่เป็นบ่อพักน้ำหรือรับน้ำ
และพิจารณาจาหนองบึงหรือพื้นที่ว่างเปล่าตามความเหมาะสม เป็นบ่อพักน้ำเพิ่มเติม
โดยใช้คลองธรรมชาติในแนวเหนือใต้ เช่น คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต คลองบางปลา
คลองด่าน คลองบางปิ้ง คลองตำหรุ คลองชายทะเล เป็นแหล่งระบายน้ำเข้าและออกบ่อพักน้ำ
3.5.2 โครงการแก้มลิงในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำหน้าที่รับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ตั้งแต่จังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม กรุงเทพ มหานคร
และสมุทรสาคร ไปลงคลองมหาชัย-สนามชัย
และแม่น้ำท่าจีน เพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเลด้านจังหวัดสมุทรสาคร
เนื่องจากสภาพพื้นที่ทั่วไปแถบนั้นยังไม่มีคันกั้นน้ำริมฝั่งเจ้าพระยาและคันกั้นน้ำขนานกับชายทะเล
ส่วนคลองต่างๆ ที่มีทางน้ำไหลเชื่อมต่อกับชายทะเลก็ยังไม่มีการควบคุมเพียงพอ
ดังนั้นเมื่อน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นจึงหนุนไม่ให้น้ำจืดไหลออกทะเล
หรือไหลออกทะเลได้ช้ามาก ก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมรุนแรงและท่วมขังนานวัน
3.6 โครงการบำบัดน้ำเสีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในการแก้ไข
และบำบัดน้ำเสียในชุมชนเขตกรุงเทพมหานคร และเมืองใหญ่
โดยพระราชทานพระราชดำริแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมมือกันทดลองหาวิธีแก้ไข
และบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการง่ายๆ และเหมาะสม ขณะนี้การบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำริด้วยวิธีการต่างๆ
ได้ส่งผลเป็นที่น่าพอใจและกำลังเผยแพร่ไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศมากขึ้น
การบำบัดน้ำเสียตามแนวพระราชดำรัสที่พระราชทานให้เป็นแนวในการปฏิบัติงานนั้น
จะเป็นประโยคง่ายๆ และได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี เป็นข้อความง่ายๆ
ที่มีความหมายลึกซึ้ง และบางครั้งบอกถึงวิธีการดำเนินการไว้ด้วย
3.6.1 การบำบัดน้ำเสียโดยการทำให้เจือจาง หรือ “น้ำดีไล่น้ำเสีย”
ทรงแนะนำให้ใช้หลักการ แก้ไข
โดยใช้น้ำที่มีคุณภาพดีจากแม่น้ำเจ้าพระยาช่วยผลักดัน
และเจือจางน้ำเน่าเสียให้ออกจากแหล่งน้ำของชุมชน ในเขตเมือง ตามคลองต่างๆ เช่น
คลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์และคลองบางลำภู เป็นต้น
วิธีนี้จะกระทำได้ด้วยการเปิด-ปิดประตูอาคารควบคุมน้ำ
รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงจังหวะน้ำขึ้น
และระบายน้ำสู่แม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวะน้ำลง ผลก็คือตามลำคลองต่างๆ
มีโอกาสไหลถ่ายเทหมุนเวียนกันมากขึ้น น้ำก็จะกลับกลายเป็นน้ำที่มีคุณภาพ
ด้วยวิธีธรรมชาติง่าย
3.6.2 การบำบัดน้ำเสียโดยการ กรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา หรือ “ไตธรรมชาติ”
บึงมักกะสันเป็นบึงขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
ที่การรถไฟได้ขุดขึ้นมา ประมาณ 68 ปีมาแล้ว
มีขนาด 60 x 2.38 x 1.5 เมตร โดยมีเนื้อที่ผิวน้ำรวมทั้งสิ้นประมาณ 92 ไร่
เพื่อใช้เป็นแหล่งระบายน้ำและรองรับน้ำเสียจากชุมชนแออัด
ได้แก่ชุมชนสามเสนและชุมชนทับแก้ว ส่วนใหญ่เป็นสิ่งปฏิกูล
และขยะมูลฝอยรวมทั้งน้ำมันเครื่อง จากโรงงานรถไฟมักกะสัน
ของเสียเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุทำให้บึงมักกะสันตื้นเขิน
เนื่องจากการตกตะกอนของสารแขวนลอย ซึ่งส่งผลตามมาคือ ทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย กลายเป็นแหล่งเพราะเชื้อโรคจนเกิดเป็นปัญหาภาวะแวดล้อมเสื่อมโทรม
ท่ามกลางความเจริญทางด้านวัตถุของสังคมเมืองที่มี
การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ทรงตระหนักถึงภัยแห่งภาวะมลพิษดังกล่าว ที่พสกนิกรของพระองค์ได้รับผลกระทบโดยตรง
หากมิได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที จึงพระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ
ร่วมกันปรับปรุงบึงมักกะสัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการช่วยระบายน้ำ
และบำบัดน้ำเสียโดยใช้วิธีการที่เป็นรูปแบบเครื่องกรองน้ำธรรมชาติ
โดยใช้พืชบางชนิด เช่น ผักตบชวา ต้นธูปฤาษี เป็นต้น
3.6.3
การบำบัดน้ำเสียโดยกระบวนการทางชีววิทยาผสมผสานกับเครื่องกลเติมอากาศแบบ “สระเติมอากาศชีวภาพบำบัด”
บึงพระราม 9 เป็นบึงขนาดใหญ่ เนื้อที่ประมาณ130 ไร่ มีความยาวถึง 1,300 เมตร
ตั้งอยู่ในเขตที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ซึ่งอยู่ติดกับคลองลาดพร้าวบรรจบกับคลองแสนแสบในท้องที่เขตห้วยขวาง
ซึ่งมีปัญหาภาวะมลพิษ น้ำเน่าเสียอย่างรุนแรงและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
เนื่องจากคลองลาดพร้าวเป็นคลองระบายน้ำหลักคลองหนึ่ง
ของกรุงเทพมหานครซึ่งรับน้ำเสียมาจากแหล่งชุมชนที่อยู่ 2 ฝั่งคลอง ที่มีความกว้าง 20-30 เมตร ลึกประมาณ 3 เมตร น้ำไม่ใส มีตะกอนสีค่อนข้างดำ
และมีกลิ่นเน่าเหม็นของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์
3.6.4 หลักการบำบัดน้ำเสียด้วยการผสมผสานระหว่างพืชน้ำกับระบบการเติมอากาศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการแก้ไขโดยเร็วเกี่ยวกับปัญหาน้ำเน่าเสียที่ปล่อยลงหนองหาน
และหนองสนม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร การบำบัดน้ำเสียที่หนองหานกระทำได้โดยให้รวบรวมน้ำเสียจากชุมชนในเขตเทศบาลที่ระบายลงในหนองหาน
ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตน้ำประปา และโรงพยาบาลมารวมกันที่จุดระบายน้ำทิ้ง ณ
บริเวณใกล้ฌาปนสถาน ภูหมากเสือ ปริมาณน้ำเสียคิดเป็นร้อยละ 70 จากเขตเทศบาลแล้วให้จัดการโครงการบำบัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติผสมผสานกับเทคโนโลยีแบบประหยัด
เพื่อสามารถรองรับการระบายด้วยชุมชนเทศบาลเมืองในอนาคต
ระบบบำบัดน้ำเสียประกอบด้วยท่อรับน้ำเสียในเขตเทศบาลเมืองมาเข้าระบบบำบัดน้ำเสียในบ่อผึ่ง
(
Waste water stabilization ponds ) โดยมีลานก้อนกรวดเพื่อทำหน้าที่กรองสารแขวนลอยและช่วยเติมออกซิเจนให้กับน้ำเสีย
ตลอดจนช่วยให้เกิดจุลินทรีย์เกาะที่ก้อนกรวด
ส่งผลให้มีการย่อยสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำเสียให้ลดลงได้ก่อนน้ำเสีย
ผ่นตะแกรงกระบะเพื่อรองรับเศษขยะ
3.6.5 หลักการบำบัดน้ำเสียด้วยระบบบ่อบำบัดน้ำเสียและวัชพืชบำบัดที่แหลมผักเบี้ย
โครงการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อม
แหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
เป็นโครงการศึกษาวิจัยวิธีการบำบัดน้ำเสีย
กำจัดขยะมูลฝอยและการรักษาสภาพป่าชายเลนด้วยวิธีธรรมชาติ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ประกอบด้วยมูลนิธิชัยพัฒนา
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร) กรมชลประทาน กรมป่าไม้ กรมประมง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันราชภัฏเพชรบุรี
และเทศบาลเมืองเพชรบุรี ร่วมกันดำเนินงาน
พระองค์ทรงมีความคิดในการกำจัดสิ่งที่เป็นพิษพวกโลหะหนักออกจากน้ำ
และนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วมาใช้ในการเกษตร ส่วนน้ำที่เหลือใช้ให้ปล่อยลงทะเล
พระองค์ได้มีพระราชดำรัสว่า “ ...ทางใต้ของประเทศออสเตรเลีย
มีโครงการนำน้ำเสียไปใส่คลองแล้วระบายไปตามท่อ ลงบ่อใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเล
ซึ่งมีพื้นที่หลายร้อยไร่แล้วบำบัดน้ำเสียให้หายสกปรก แล้วจึงปล่อยลงสู่ทะเล... ” จากนั้นจึงส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน
กปร และกรมชลประทานเดินทางไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสีย
และการกำจัดขยะมูลฝอยที่ประเทศออสเตรเลีย โดยศึกษารูปแบบ
และวิธีการมาปรับปรุงใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเห็นด้วย
กับคณะทำงานที่จะบำบัดน้ำเสียที่ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
โดยการสร้างท่อระบายน้ำ รวบรวมน้ำเสียมารวมกันที่คลองยาว
ที่จุดนี้ทำหน้าที่เป็นบ่อดักขยะ แยกถุงพลาสติก เศษผ้า เศษไม้
และตกตะกอนสารแขวนลอยขนาดใหญ่เพื่อลดความสกปรก
และลดการทำงานของเครื่องปั๊มแล้วสูบน้ำเสีย จากคลองยาว มาบำบัดที่แหลมผักเบี้ย
3.6.6 การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีการเติมอากาศ “กังหันน้ำชัยพัฒนา”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงห่วงใยในความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนทั้งหลายเป็นอย่างมาก
ได้เสด็จพระราชดำเนินพบเห็นสภาพน้ำเน่าเสียในพื้นที่หลายแห่งหลายครั้งทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร
ปริมณฑลและต่างจังหวัด พระราชทานพระราชดำริเรื่องการแก้ไขน้ำเน่าเสีย
เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นเป็นภาวะมลพิษ
และมีอัตราปริมาณน้ำเน่าเสียของประเทศสูงขึ้นเป็นลำดับ
จนยากแก่การแก้ไขให้บรรเทาเบาบางลงได้
ส่งผลต่อสุขภาพพลานามัยที่เสื่อมโทรมแก่พสกนิกรทั้งหลาย
ระยะแรกปี พ.ศ.2527 - 30 พระองค์ทรงใช้น้ำที่มีคุณภาพดีช่วยบรรเทาน้ำเสียและวิธีกรองน้ำเสียด้วยผักตบชวา
และพืชต่างๆ ซึ่งแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น
ระยะที่สองปี พ.ศ.2531 สภาพความเน่าเสียของน้ำบริเวณต่างๆ
มีอัตรารุนแรงมากยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
จึงพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบประหยัดค่าใช้จ่าย
สามารถผลิตขึ้นเองได้ในประเทศโดยได้แนวคิดมาจาก “ หลก ” ซึ่งเป็นอุปกรณ์การวิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน
จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนด้วยงบประมาณเพื่อการศึกษา
และวิจัยสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลแบบเติมอากาศชนิดนี้เรียกว่า กังหันน้ำชัยพัฒนา
3.6.7 การบำบัดน้ำเสีย โดยกระบวนการทางฟิสิกส์ “สารเร่งตกตะกอน”
เป็นการบำบัดน้ำเสียโดยการใช้สารเคมีให้ตกตะกอนโดยการประดิษฐ์เครื่องบำบัดน้ำเสียให้มีสภาพดีขึ้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานชื่อโมเดลของเครื่องนี้ว่า “TRX -1 ” โดยเติมสารเคมีที่ช่วยทำให้ตกตะกอน หรือสารเร่งตะกอน
มีอยู่หลายชนิด เช่น สารส้ม เฟอร์ริกคลอไรด์ไอร์ออน (III) คลอไรด์เฟอร์ริกซัลเฟตไอร์ออน (III) ซัลเฟต โซเดียมอลูมิเนต และปูนขาว
ซึ่งการใช้สารเร่งตะกอนดังกล่าว น้ำที่บำบัดแล้วต้องใช้โซดาไฟปรับสภาพความเป็นกรด-เบสของน้ำให้เหมาะสม น้ำเสียประเภทต่างๆ
จากแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น คลองสามเสน คลองเปรมประชากร และคลองแสนแสบ
ก่อนทำการบำบัดโดยใช้สารเคมีนี้ต้องตรวจสอบตุณภาพน้ำเสียก่อนและหลังบำบัด
โดยเฉพาะเชื้อโรคและโลหะหนัก เพื่อที่จะได้นำตะกอนที่เกิดขึ้นภายหลังการบำบัดแล้วไปใช้ให้เกิดประโยชน์
และบางครั้งต้องเติมก๊าซออกซิเจนลงไปด้วย
นอกเหนือจากโครงการบำบัดน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ
ซึ่งแต่ละแหล่งอาจจะใช้วิธีการที่แตกต่างกันไป หรือผสมผสานกันแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังทรงมีพระราชหฤทัยห่วงใยถึงปัญหาวิกฤตการณ์น้ำคือ
ปัญหาน้ำท่วมกับปัญหาน้ำแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นสลับกันอยู่ตลอดเวลา
3.7
โครงการแก้ไขปัญหาน้ำแห้งแล้ง
และการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรกรรม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยปัญหาวิกฤตการณ์
น้ำที่จะเกิดขึ้นของประเทศไทยในอนาคต
เนื่องจากเกิดปัญหาน้ำท่วมกับปัญหาน้ำแล้งสลับกันอยู่ตลอดเวลา
สร้างความสูญเสียอันยิ่งใหญ่แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วไป จำเป็นจะต้องสร้าง อ่างเก็บน้ำ ขนาดใหญ่เพื่อเป็นแหล่งต้นทุนน้ำในการชลประทานด้านเกษตรกรรมในฤดูแล้งและป้องกันอุทกภัยในฤดูน้ำหลาก
อันเกิดจากลุ่มน้ำป่าสักและลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนกลาง
จึงได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่งคือ
ที่แม่น้ำป่าสักและอีกแห่งหนึ่งคือที่แม่น้ำนครนายก อ่างเก็บน้ำ 2 แห่งนี้มีความสามารถในการกักเก็บปริมาณน้ำรวมกันเพียงพอในการบริโภคและอุปโภค
ทั้งนี้เนื่องจากแม่น้ำป่าสักมีปริมาณน้ำไหลเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 2,400 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมมีปริมาณน้ำฝนถึง 1,600 ล้านลูกบากศ์เมตร
และเป็นที่น่าเสียดายที่น้ำเหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งลงทะเลโดยเปล่าประโยชน์
แทนที่จะเก็บไว้ใช้ เพื่อการอุปโภคและการเกษตร
4. ประโยชน์ของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จากการที่ส่วนราชการต่างๆ
ได้ก่อสร้างโครงการพัฒนาแหล่งน้ำสนองพระราชดำริมาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริสามารถให้ประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นส่วนรวม
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในด้านต่างๆ โดยสรุป ดังนี้
1)
พื้นที่เพาะปลูกจำนวนมากในเขตโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
เพื่อการเพาะปลูกอันเนื่องมา จากพระราชดำริ มีน้ำอย่างอุดมสมบูรณ์
สามารถทำการเพาะปลูกได้ทั้งในฤดูฝน ฤดูแล้ง ช่วยให้ราษฎรในท้องที่ต่างๆ
ซึ่งแต่เดิมทำการเพาะปลูกไม่ค่อยได้ผล แม้กระทั่งการทำนาปี
ส่วนในฤดูแล้งทำการเพาะปลูกไม่ได้เลย
เนื่องจากขาดแคลนน้ำเพราะต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลักสามารถทำการเพาะปลูกในฤดูฝนได้ผลผลิตมากขึ้น
และมีความแน่นอน นอกจากนั้น ยังมีน้ำให้ทำการเพาะปลูกในระยะฤดูแล้งได้อีกด้วย
2)
ในท้องที่บางแห่งซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยมีน้ำท่วมขังจนไม่สามารถใช้ทำการเพาะปลูกได้
หรือ ทำการเพาะปลูกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
โครงการระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ช่วยให้พื้นที่ต่างๆ
เหล่านั้นสามารถใช้ทำการเพาะปลูกอย่างได้ผล ได้ผลผลิตสูงขึ้นและมีความแน่นอน
ราษฎรมีรายได้เพิ่มขึ้น
3)
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ได้มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาด
ต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งอ่างเก็บน้ำเหล่านั้นทางกรมประมงได้นำพันธุ์ปลา และพันธุ์กุ้งไปปล่อยไว้ทุกอ่างตามความเหมาะสม และอ่างเก็บน้ำใดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการ จะทรงปล่อยพันธุ์ปลา และอาจจะมีพันธุ์กุ้งด้วยเกือบทุกครั้ง ทำให้ราษฎรตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ นอกจากจะมีอาหารปลาสำหรับบริโภคภายในครอบครัวแล้ว ราษฎรบางรายอาจจะมีเหลือนำไปขายเป็นรายได้เสริมหรือรายได้หลักของครอบครัวอีกด้วย
ต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งอ่างเก็บน้ำเหล่านั้นทางกรมประมงได้นำพันธุ์ปลา และพันธุ์กุ้งไปปล่อยไว้ทุกอ่างตามความเหมาะสม และอ่างเก็บน้ำใดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการ จะทรงปล่อยพันธุ์ปลา และอาจจะมีพันธุ์กุ้งด้วยเกือบทุกครั้ง ทำให้ราษฎรตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ นอกจากจะมีอาหารปลาสำหรับบริโภคภายในครอบครัวแล้ว ราษฎรบางรายอาจจะมีเหลือนำไปขายเป็นรายได้เสริมหรือรายได้หลักของครอบครัวอีกด้วย
4)
ช่วยส่งเสริมให้ราษฎรในเขตโครงการต่าง ๆ
มีน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภคอย่างเพียงพอ
ตลอดปี รวมทั้งสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย
5)
พื้นที่เพาะปลูกและเขตชุมชนหลายแห่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชุมชนเมืองใหญ่ๆ ย่อม มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำท่วมหรืออุทกภัยอยู่เนืองๆ
ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลเป็นอันมาก
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ประเภทโครงการบรรเทาอุทกภัยสามารถช่วยลดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจดังกล่าว
ให้ลดน้อยลงไปได้เป็นอย่างมาก เช่น
บริเวณทุ่งฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
6)
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริจะช่วยให้
ราษฎรตามชนบทที่อยู่ตามป่าเขา หรือในท้องที่ทุรกันดาร
ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเขตชุมชนได้มีไฟฟ้าใช้สำหรับให้แสงสว่างในครัวเรือน
ทำให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
และหากราษฎรทั้งหมู่บ้านสามารถร่วมมือกันก่อสร้างโรงสีข้าวชนิดใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กขึ้น
ซึ่งจะใช้ไฟฟ้าสีข้าวในเวลากลางวันได้
7)
ช่วยส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมด้านเกษตรอุตสาหกรรม
ตามหมู่บ้านชนบทมากขึ้นโดยใช้
ผลิตผลเกษตรที่ได้จากหมู่บ้านซึ่งสามารถจะควบคุมได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ
มาทำการผลิตได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งผลิตภัณฑ์เกษตรอุตสาหกรรมดังกล่าว
จะเป็นสินค้าออกของประเทศได้เป็นอย่างดี
8)
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ในการจัดหาน้ำ สนับสนุนราษฎรชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ให้มีพื้นที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง
โดยมีน้ำสำหรับการเพาะปลูกไม้เมืองหนาว และพืชเมืองหนาว รวมทั้งการปลูกข้าว
เพื่อทดแทนการบุกรุกทำลายป่าบริเวณต้นน้ำลำธารสำหรับทำไร่เลื่อนลอย และปลูกฝิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือนั้น
จะช่วยรักษาพื้นที่ป่าไม้บริเวณต้นน้ำลำธาร
ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าของชาติไว้
และเป็นการกำจัดแหล่งผลิตฝิ่นภายในประเทศ
ซึ่งเป็นต้นตอของยาเสพติดของประเทศพร้อมกันไปด้วย
9)
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการรักษาต้นน้ำลำธารอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โดยการสร้างฝายเก็บกักน้ำบริเวณต้นน้ำลำธารเป็นชั้น ๆ
พร้อมระบบกระจายน้ำจากฝายต่าง ๆ ไปสู่พื้นที่สองฝั่งของลำธาร
ทำให้พื้นดินสองฝั่งลำธารชุ่มชื้น และป่าไม้ตามแนวสองฝั่งลำธารเขียวชอุ่มตลอดปี
ลักษณะเป็นป่าเปียกสำหรับป้องกันไฟเป็นแนวๆ กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณต้นน้ำลำธารนั้น
จะช่วยอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้บริเวณต้นน้ำลำธาร
ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติให้ได้ผลอย่างสมบูรณ์ไว้ต่อไป
10) ราษฎรในชนบทที่อยู่ในเขตโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริจะมีรายได้สูงขึ้น
มีการอยู่ดีกินดี โดยอาจมีรายได้หลักจากการเพาะปลูก และมีรายได้เสริมจากการประมง
การเลี้ยงสัตว์ หรือการเกษตรอุตสาหกรรม นอกจากนั้น ยังมีน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภคตลอดปีอีกด้วย
ทำให้สังคมในหมู่บ้านชนบทมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
และราษฎรประกอบอาชีพโดยสุจริตอย่างผาสุกกว่าแต่ก่อน เมื่อราษฎรในชนบทมีฐานะดีขึ้น
ย่อมสามารถสนับสนุนให้บุตรหลานเข้ารับการศึกษาได้ในระดับสูงกว่าแต่ก่อน
เป็นการยกระดับความรู้ของเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังของชาติ
และยกระดับสังคมในชนบทขึ้นอีกด้วย
อันจะเป็นการพัฒนาบุคคลหรือสังคมของชาติโดยส่วนรวมต่อไป
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากล้นสุดที่จะประมาณได้ต่อปวงชนชาวไทยทั้งหลายทุกหมู่เหล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น